สุนทรียภาพ ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2525 หมายถึง ความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะ ที่แต่ละบุคคลสามารถเข้าใจและรู้สึกได้ หรือความเข้าใจและรู้สึกของแต่ละบุคคลที่มีต่อความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะซึ่งในที่นี้หมายถึง ความงามในงานศิลปะทางด้านการแสดงนาฏศิลป์
ในการศึกษาทางด้านสุนทรียภาพของการแสดงนาฏศิลป์นั้น เป็นไปตามหลักการ
ทางสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับความรู้สึกในการรับรู้ความงาม ได้แก่หลักเกณฑ์ด้านความงาม ลักษณะต่าง ๆ ของความงาม คุณค่าต่าง ๆ ของความงามและรสนิยม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาความเป็นอยู่ พฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์ ในด้าน
ความรู้สึก การตอบสนองต่อสิ่งสวยงามและสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชน โดยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์โดยตรงที่สร้างความพอใจและมีผลต่อความรู้สึกเฉพาะตนตลอดจนมีการสอบสวน และเปิดเผยหลักเกณฑ์ความงามให้เห็นเด่นชัด ได้ด้วย
ดังนั้น การศึกษาด้านสุนทรียภาพของงานนาฏศิลป์จึงหมายถึง การศึกษาและพิจารณาในเรื่องการแสดงท่าทาง อากัปกิริยา การร่ายรำของศิลปะแห่งการละครและการฟ้อนรำ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับดนตรีที่เป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้การแสดง
นาฏศิลป์มีความสมบูรณ์จึงต้องนำความงามทางด้านดนตรีในการแสดงนาฏศิลป์มาพิจารณาร่วมกันด้วยทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาและประเมินค่าความงามของการ
แสดงนาฏศิลป์มีความถูกต้อง และครอบคลุมตามหลักการนาฏศิลป์ ตลอดจนเป็นไปตามหลักการทางสุนทรียศาสตร์ด้วย
นาฏศิลป์ไทย ประกอบด้วย ระบำ รำ ฟ้อน โขน และละคร ซึ่งเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่า และมีรูปแบบของความงามหรือสุนทรียะ 3 ด้าน สุนทรียะทางวรรณกรรม
สุนทรียะทางดนตรี และการขับร้อง และสุนทรียะทางท่ารำ ดังนี้
1. สุนทรียะทางวรรณกรรม หมายถึงความงามทางตัวอักษรโดยเฉพาะคำ
ประพันธ์ประเภทร้อยกรอง ที่มีความงามทางตัวอักษรของกวีหรือผู้ประพันธ์ที่มีศิลปะในการใช้ถ้อยคำซึ่งก่อให้เกิดการโน้มน้าว ความรู้สึกในแง่ของคติสอนใจ
ที่มีคุณประโยชน์ในการเสริมสร้างปัญญา โดยความงามของวรรณคดีประเภทร้อยกรองนั้นประกอบด้วย ความงามของเนื้อหาสาระและศิลปะการใช้ถ้อยคำ
การเล่นคำ เล่นอักษร เล่นสระ และเล่นเสียง
2. สุนทรียะทางดนรีและการขับร้อง ความงามที่ได้จากดนตรีและการขับร้องนั้นต้องอาศัยทั้งผู้บรรเลง ผู้ร้อง และผู้ฟัง เนื่องจากในเพลงไทยมักจะมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการขับร้องไว้ด้วยกัน ตลอดจนมีผู้ฟังเพลงที่มาช่วยกันสร้างสุนทรียะทางดนตรีและการขับร้องร่วมกัน
นาฎศิลป์เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าศิลปะแขนงอื่นๆ ความสำคัญของนาฎศิลป์สามารถกล่าวได้ดังนี้
1. นาฎศิลป์แสดงความเป็นอารยประเทศ บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองดีก็ด้วยประชาชนมีความเข้าใจศิลปะ เพราะศิลปะเป็นสิ่งมีค่า เป็นเครื่องโน้มน้าวอารมณ์ โดยเฉพาะศิลปะการละคร มีความสำคัญสามารถกล่อมเกลาจิตใจหรือโน้มน้าวอารมณ์ไปในทางที่ดี เป็นแนวทางนำให้คิดและให้กำลังใจในการที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองสืบไป
2. นาฎศิลป์เป็นแหล่งรวมศิลปะ ประกอบด้วยศิลปะประเภทต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องสอดคล้องกัน เช่น ศิลปะการเขียน การก่อสร้าง การออกแบบเครื่องแต่งกาย และวรรณคดี ศิลปะแต่ละประเภทได้จัดทำกันด้วยความประณีตสุขุม ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยศิลปะเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของชาติ มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต้องมีศิลปะของตนไว้เป็นประจำนับแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ รวมความว่านาฎศิลป์มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกันทั้งสิ้น สร้างความเป็นแก่นสารให้แก่บ้านเมืองด้วยกันทั้งนั้น
ประโยชน์ของนาฏยศิลป์
การเรียนนาฎศิลป์มีความมุ่งหมาย ดังนี้
1. เพื่อเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยทางศิลปะแก่ผู้เรียน
2. เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น
3. เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป
4. เพื่อเป็นการฝึกให้รู้จักกล้าแสดงออก
การเรียนนาฎศิลป์ทำให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
1. ทำให้เป็นคนรื่นเริงแจ่มใส
2. มีความสามัคคีในหมู่คณะ
3. สามารถยึดเป็นอาชีพได้
4. ทำให้รู้จักดนตรีและเพลงต่าง ๆ
5. ทำให้เกิดความจำและปฏิภาณดี
6. ช่วยให้เป็นคนที่มีท่าทางเคลื่อนไหวสง่างาม
7. ช่วยในการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดี
8. ได้รับความรู้นาฎศิลป์จนเกิดความชำนาญ สามารถปฏิบัติได้ดีมีชื่อเสียง
ชุดการแสดงต่างๆ
การแสดงชุดนี้อยู่ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ชุดจองถนนโดยดำเนินเรื่องว่า พระรามทรงใช้ให้สุครีพคุมพลวานรไปจองถนนเพื่อจะยกพลข้ามไปฝั่งลงกา ในขณะที่บรรดาพลวานรกำลังทุ่มหินถมลงในมหาสมุทรอยู่นั้น นางสุพรรณมัจฉาผู้เป็นราชธิดาของทศกัณฐ์พาฝูงบริวารปลามาคาบขนก้อนหินไป สุครีพสงสัยจึงสั่งให้หนุมานประดาน้ำลงไปสำรวจดู ได้พบนางสุพรรณมัจฉาจึงตรงเข้าไขว่คว้าโลดไล่จับนางสุพรรณมัจฉาได้สำเร็จ
ฟ้อนดาบ
ฟ้อนดาบ เป็นศิลปะการแสดงลีลาท่าทางในการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมีดดาบของชาวเหนือ โดยผู้แสดงจะย่างไปข้างหน้า ถอยหลัง หันซ้าย ขวา ในลักษณะของการระวังตัว ระวังคู่ต่อสู้ ปัจจุบันใช้แสดงความสามารถในการใช้ดาบติดไว้ตามร่างกายเป็นจำนวนหลายเล่ม อีกมือหนึ่งจะถือปลอกมีดไว้ปัดป้อง มีมาแต่สมัยโบราณ ใช้กลองสะบัดชัยตีประกอบจังหวะ ผู้แสดงสวมชุดพื้นบ้านภาคเหนือ (นุ่งกางเกงครึ่งแข้ง สวมเสื้อม่อฮ่อม มีผ้าขาวม้าคาดเอว) การแสดงชุดนี้ใช้เวลาประมาณ ๑๐ - ๓๐ นาที
แนวทางการอนุรักษ์นาฏศิลป์
นาฏศิลป์ไทยเป็นศิลปะอันล้ำค่าของชาติไทยที่ได้รับการสืบต่อกันมา
แต่โบราณกาล จัดเป็นสิ่งที่งดงามทางศิลปวัฒนธรรมที่ควรแก่การรักษาสืบทอดต่อชนรุ่นหลัง และควรที่จะได้มีการเผยแพร่และปลูกฝังค่านิยมแก่เยาวชนไทย
ในยุคปัจจุบัน นักเรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงนี้ไว้ ดังนั้นเพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความชำนาญมากยิ่งขึ้นจึงเห็นเป็นการสมควรที่จะให้มีการฝึกซ้อม นาฏศิลป์ไทยเป็นประจำ เพื่อพัฒนาทักษะในการแสดงของนาฏศิลป์ไทยให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป
สุนทรียภาพของการแสดงนาฏศิลป์
สุนทรียภาพ ตามความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2525 หมายถึง ความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะ ที่แต่ละบุคคลสามารถเข้าใจและรู้สึกได้ หรือความเข้าใจและรู้สึกของแต่ละบุคคลที่มีต่อความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะซึ่งในที่นี้หมายถึง ความงามในงานศิลปะทางด้านการแสดงนาฏศิลป์
ในการศึกษาทางด้านสุนทรียภาพของการแสดงนาฏศิลป์นั้น เป็นไปตามหลักการ
ทางสุนทรียศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับความรู้สึกในการรับรู้ความงาม ได้แก่หลักเกณฑ์ด้านความงาม ลักษณะต่าง ๆ ของความงาม คุณค่าต่าง ๆ ของความงามและรสนิยม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาความเป็นอยู่ พฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์ ในด้าน
ความรู้สึก การตอบสนองต่อสิ่งสวยงามและสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชน โดยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์โดยตรงที่สร้างความพอใจและมีผลต่อความรู้สึกเฉพาะตนตลอดจนมีการสอบสวน และเปิดเผยหลักเกณฑ์ความงามให้เห็นเด่นชัด ได้ด้วย
ดังนั้น การศึกษาด้านสุนทรียภาพของงานนาฏศิลป์จึงหมายถึง การศึกษาและพิจารณาในเรื่องการแสดงท่าทาง อากัปกิริยา การร่ายรำของศิลปะแห่งการละครและการฟ้อนรำ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับดนตรีที่เป็นองค์ประกอบที่ช่วยให้การแสดง
นาฏศิลป์มีความสมบูรณ์จึงต้องนำความงามทางด้านดนตรีในการแสดงนาฏศิลป์มาพิจารณาร่วมกันด้วยทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาและประเมินค่าความงามของการ
แสดงนาฏศิลป์มีความถูกต้อง และครอบคลุมตามหลักการนาฏศิลป์ ตลอดจนเป็นไปตามหลักการทางสุนทรียศาสตร์ด้วย
นาฏศิลป์ไทย ประกอบด้วย ระบำ รำ ฟ้อน โขน และละคร ซึ่งเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่า และมีรูปแบบของความงามหรือสุนทรียะ 3 ด้าน สุนทรียะทางวรรณกรรม
สุนทรียะทางดนตรี และการขับร้อง และสุนทรียะทางท่ารำ ดังนี้
1. สุนทรียะทางวรรณกรรม หมายถึงความงามทางตัวอักษรโดยเฉพาะคำ
ประพันธ์ประเภทร้อยกรอง ที่มีความงามทางตัวอักษรของกวีหรือผู้ประพันธ์ที่มีศิลปะในการใช้ถ้อยคำซึ่งก่อให้เกิดการโน้มน้าว ความรู้สึกในแง่ของคติสอนใจ
ที่มีคุณประโยชน์ในการเสริมสร้างปัญญา โดยความงามของวรรณคดีประเภทร้อยกรองนั้นประกอบด้วย ความงามของเนื้อหาสาระและศิลปะการใช้ถ้อยคำ
การเล่นคำ เล่นอักษร เล่นสระ และเล่นเสียง
2. สุนทรียะทางดนรีและการขับร้อง ความงามที่ได้จากดนตรีและการขับร้องนั้นต้องอาศัยทั้งผู้บรรเลง ผู้ร้อง และผู้ฟัง เนื่องจากในเพลงไทยมักจะมีทั้งการบรรเลงดนตรีและการขับร้องไว้ด้วยกัน ตลอดจนมีผู้ฟังเพลงที่มาช่วยกันสร้างสุนทรียะทางดนตรีและการขับร้องร่วมกัน
สุนทรียะการขับร้อง
3. สุนทรียะของท่ารำ ความงามของท่ารำอย่างมีสุนทรียะนั้นพิจารณาได้จากความถูกต้องตามแบบแผนของท่ารำ ได้แก่ ท่ารำถูกต้อง จังหวะถูกต้อง สีหน้าอารมณ์ความรู้สึกที่สอดคล้องไปกับท่ารำ ทำนองเพลงและบทบาทตามเนื้อเรื่องท่ารำสวยงาม มีความแตกฉานด้านท่ารำ มีท่วงทีลีลาเป็นเอกลักษณ์ของตนถ่ายทอดท่ารำออกมาได้เหมาะสม
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น